ไข่พะโล้โบราณ มีความแตกต่างจาก ไข่พะโล โดยทั่วๆ ไป ที่เราเคยทานกันมาอย่างแน่นอนครับ เพราะส่วนใหญ่ ทุกร้าน จะนิยมใส่ ผงพะโล้ หรือเครื่องเทศจีน มาผสมเป็นหลัก จนทำให้รสชาติ มันเปลี่ยนไป แต่ตามสูตรโบราณแล้ว ไม่จำเป็นเลยครับ ที่ต้องใส่เครื่องช่วยอะไรแบบนั้น เพียงแต่ว่า คนสมัยนี้ ไม่รู้สูตรโบราณ ว่าจริงๆ แล้ว พะโล้ ที่คนสมัยก่อนเค้าทำกัน ทำยังไง เมนูนี้ ยืนยันว่า ไม่จำเป็นต้องใส่ ผงพะโล้ ไม่ใส่ป๊วยกั๊ก และไม่ใส่อบเชย เลยนะครับ ไม่มีความจำเป็นเลยครับ เพราะเป็นสูตรโบราณของไทยแท้ๆ ข้อดีของการทำแบบสูตรโบราณก็คือ จะได้รสชาติ จากวัตถุดิบหลัก อย่างแท้จริง ได้ความเผ็ดจากพริกไทย รากผักชี และกระเทียม รวมทั้งความหอม ที่ผสมผสานกัน เอาเป็นว่า มันจะเป็นรสชาติที่ ทุกท่าน ไม่เคยทานมาก่อนอย่างแน่นอนครับ อร่อยกว่า ใส่ผงพะโล้ มากมายหลายเท่าตัวครับ แม้ว่า จะใช้เวลาในการทำนานสักหน่อย แต่มันคุ้มค่าครับ เพราะเมนูนี้ สามารถเก็บเอาไว้ทานได้หลายวัน หรือถ้าเก็บเข้าตู้เย็น ก็เก็บไว้ได้นานครับ
ขั้นตอนการทำ อาจจะดูยุ่งยากไปสักหน่อย แต่มันคุ้มครับ วัตถุดิบ และส่วนผสมนั้น ไม่ได้มีอะไรยุ่งยาก หรือแปลกใหม่เลย แต่ขั้นตอน อาจจะดูเยอะไปสักหน่อย แต่มันก็มาจาก ความปราณีต และความใส่ใจในทุกรายละเอียดของการทำ ซึ่งนี่คือ เสน่ห์ของการทำ อาหารไทยโบราณ แท้ๆ ครับ มันต้องละเอียดแบบนี้เท่านั้น ลองเอาไปทำทานกันเถอะครับ รับรองว่า ไม่เสียใจอย่างแน่นอน ยืนยันว่า หาทานยากแล้วนะครับ หรืออาจจะไม่มีอีกแล้ว ถ้าไม่ทำทานเอง เพราะขั้นตอนมันเยอะ คงไม่มีร้านอาหารตามสั่ง หรือร้านขายข้าวแกงร้านไหน จะเสียเวลา มาทำเมนูนี้ ตามตำรับโบราณอย่างแน่นอนครับ ดังนั้น การทำทานเองที่บ้าน จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดครับ
วัตถุดิบที่จำเป็นต้องใช้
- ไข่เป็ด ( ไม่ใช่ไข่สดนะครับ ต้องเป็นไข่ค้าง )
- เนื้อหมู ( ส่วนไหนก็ได้ แล้วแต่ชอบ )
- น้ำตาลปึก
- พริกไทยเม็ด 1 ส่วน
- รากผักชี 2 ส่วน
- กระเทียม 4 ส่วน
- เต้าหู้ทอด ( เต้าหู้ขาวชนิดแข็ง เอามาทอด )
- น้ำมันพืช
วิธีทำ ไข่พะโล้โบราณ
- นำ ไข่เป็ด มาต้ม โดยการนำไปใส่หม้อ ใส่น้ำลงไป ใส่เกลือลงไป แล้วจึงค่อยเอาไปตั้งไฟ นะครับ
- ในระหว่างที่รอน้ำเดือด ก็ต้องใช้พาย มาคนเรื่อยๆ นะครับ เหตุผลก็เพราะว่า เพื่อไม่ให้ ไข่แดง ตกไปอยู่ ด้านใด ด้านหนึ่ง ของไข่ เวลาที่ต้มออกมา ไข่แดง มันจะได้อยู่ตรงกลาง เวลาผ่าออกมา จะได้สวยงามครับ อันนี้เป็นเทคนิค ที่ใครจะทำ หรือไม่ทำก็ได้นะครับ
- ต้มให้เดือดอยู่อย่างนั้น ประมาณ 6 นาที ก็ตักขึ้นมาได้เลยครับ ไม่ควรนานเกินกว่านั้นนะครับ เพราะไข่จะมีวงดำเกิดขึ้นครับ
- ตักไข่ที่ต้มสุกแล้ว ขึ้นมาใส่น้ำเย็นเอาไว้ครับ
- จากนั้น นำไข่มาแกะเปลือกออกให้หมด
- ต่อไปเป็นการทำเครื่องแกง เริ่มด้วยการ นำพริกไทยเม็ด มาโขลกให้ละเอียดเป็นผงเลยนะครับ
- จากนั้นนำรากผักชี ที่หั่นซอยแล้ว ลงมาโขลกร่วมกับพริกไทย
- ใส่กระเทียม ตามลงไป โขลกร่วมด้วย โขลกให้ทุกอย่างแหลกละเอียด จนเป็นเนื้อเดียวกันเลยนะครับ
- ติดไฟ ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันลงไปนิดนึง ใช้ไฟปานกลาง
- นำเครื่องแกง ที่โขลกจนละเอียดแล้ว ลงไปผัด ผัดให้หอมขึ้นจมูกเลยนะครับ แล็วก็ตักขึ้นมาพักไว้ได้เลย
- นำเนื้อหมู มาหั่นเป็นชิ้นๆ ให้มีขนาดใหญ่นิดนึง เพราะในขั้นตอนต่อไป จะทำให้ขนาดของชิ้นหมู ลดลงไปเองนะครับ โดยจะใช้เนื้อหมูส่วนไหน ก็แล้วแต่ชอบเลยครับ
- นำกระทะ มาใส่น้ำมันนิดนึง หรือจะใช้น้ำมันจากที่ผัดเครื่องแกงเมื่อกี้ก็ได้ แต่ตักน้ำมันออกมา ให้เหลือน้อยๆ พอเคลือบกระทะ ก็พอครับ แล้วก็ใส่ น้ำตาลปึก ลงไปเคี่ยวได้เลยครับ
- เคี่ยวน้ำตาลไปเรื่อยๆ ด้วยไฟอ่อน จนน้ำตาลเปลี่ยนสี แล้วจึงใส่ ซีอิ๊วดำเค็ม ลงไป ตามด้วยน้ำปลา ลงไป
- จากนั้น ใส่เนื้อหมู ที่เราหั่นเอาไว้แล้ว ลงไป คนให้ส่วนผสมเข้ากัน
- ใส่เต้าหู้ทอด และไข่ต้ม ลงไปเคี่ยว ให้รสชาติ ซึมเข้าไปในส่วนผสมทั้งหมด แล้วจึงเททุกอย่าง ใส่ลงมาในหม้อใบใหญ่
- เติมน้ำลงไปในหม้ออีก ให้ท่วมเครื่อง ( ไข่ หมู เต้าหู้ ) แล้วนำไปตั้งไฟ ต้มให้เดือด
- คอยช้อนฟองออกตลอด เพื่อให้น้ำพะโล้ มีความใส
- นำเครื่องแกง ลงมาใส่ในหม้อ และต้มให้เดือดไปเรื่อยๆ คอยคนบ้าง แต่ไม่ต้องคนตลอดเวลา
- เคี่ยวไปเรื่อยๆ ประมาณ 45 นาที จนหมูนุ่ม ก็ถือว่าเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ
เคล็ดลับสำคัญของ เมนู ไข่พะโล้โบราณ
- การใส่เกลือ เวลาต้มไข่เป็ด ก็เพื่อต้องการ ทำให้เปลือกไข่มันร่อน เวลาแกะ จะได้ไม่ติดเนื้อไข่ครับ
- การผัดเครื่องแกงนั้น สังเกตง่ายๆ ว่า ถ้าผัดแล้ว กลิ่นมันขึ้นมาแรงมากๆ จนเตะจมูก หรือฉุนสุดๆ ก็แสดงว่า เครื่องแกงมันสุกใช้ได้แล้ว แค่นั้นเองครับ วิธีการดูว่า เครื่องแกงใช้ได้หรือยัง ไม่ยากครับ ที่สำคัญคือ อย่าผัดนานเกินไป เอาแค่พอดีๆ ครับ มันจะหอม และมีรสชาติดีมากๆ
- วิธีการเคี่ยวน้ำตาลปึก ค่อยๆ ใส่น้ำลงไปทีละน้อย อย่าใส่เยอะเกินไป มันจะไม่เข้มข้นครับ ใส่ลงไปนิดหน่อย พอให้มันละลายออกมาได้ จากนั้นก็เคี่ยวด้วยไฟอ่อนๆ จนมันเปลี่ยนสี และมีกลิ่นหอมขึ้นมา ก็ถือว่า เป็นอันใช้ได้ครับ
- ซีอิ๊วดำเค็ม และน้ำปลา จะใช้ในปริมาณเท่าๆ กัน แต่อย่าใส่เยอะเกินไป เพราะจะทำให้เค็มเกินไปนะครับ และสีจะออกมาเข้ม จนน่าเกลียด